หน่วยความจำภายใน
(Primary Storage
Section // Memory)
หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์จะใช้ในการเก็บคำสั่งและข้อมูลขณะที่มีการประมวลผล
ภายในระบบคอมพิวเตอร์จะมีหน่วยความจำอยู่ 2 ประเภท คือ
- ภายใน (Internal)
- ภายนอก (External)
หน่วยความจำภายในนั้นเราไม่ได้หมายถึงหน่วยความจำหลัก (Main memory) เท่านั้น
แต่ยังจะหมายถึงหน่วยความจำที่อยู่ภายในซีพียู (Local
memory) นอกจากนี้ภายใน CPU ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ CPU
นั้นก็ต้องการที่จะมีหน่วยความจำเป็นของตัวเองด้วย
ส่วนหน่วยความจำภายนอกนั้นเราจะหมายถึงอุปกรณ์เก็บข้อมูลอื่น ๆ ที่มักเรียกว่าเป็น
peripheral storage devices
เช่น ดิสก์ เทป ซึ่งติดต่อกับ CPU ด้วย I/O
Controller
คุณลักษณะอย่างหนึ่งของหน่วยความจำก็คือ ความจุ (Capacity) ซึ่งจะพูดกันในหน่วยของไบต์ (1 ไบต์ = 8 บิต) หรือคำ (word) ปกติแล้วคำจะมีความยาวขนาด 8,
16 หรือ 32 บิต
ข้อมูลทุกประเภทสุดท้ายจะถูกแปลงเป็นบิต 0 หรือ 1
ซึ่งอยู่ในรูปของเลขฐานสองเพื่อเก็บไว้ในหน่วยความจำ
เมื่อต้องการใช้ก็จะมีการแปลงจากเลขฐานสองนั้นให้อยู่ในรูปแบบที่ต้องการ
แนวคิดอีกอย่างที่เกี่ยวข้องกันคือ จำนวนหน่วยที่จะโอนย้ายได้ (Unit of Transfer) สำหรับหน่วยความจำภายในนั้น unit
of transfer จะเท่ากับจำนวนdata lines ที่เข้า-ออก
หน่วยความจำ ซึ่งมันมักจะเท่ากับความยาวของคำ (แต่บางครั้งก็อาจจะไม่เท่าก็ได้)
หลักการทำงานของหน่วยความจำภายใน
วิธีการในการเข้าถึงหน่วยความจำ
เราอาจแบ่งได้เป็น 4 แบบตามชนิดของหน่วยความจำ
คือ
ž - Sequential Access เช่น การเข้าถึงเทป
ž - Direct Access เช่น
การเข้าถึงดิสก์
ž - Random Access เช่นการเข้าถึงหน่วยความจำหลัก
ž - Associative เช่น
การเข้าถึงหน่วยความจำแคช
ประสิทธิภาพของหน่วยความจำ
จะพิจารณาถึงตัวแปร 3 ตัวนี้คือ
1. Access
Time : หมายถึงเวลาที่ใช้ไปในการทำการอ่านหรือเขียนข้อมูล
(เวลาที่จะนำข้อมูลไปไว้ยังตำแหน่งของหน่วยความจำที่ระบุไว้
หรือเวลาที่นำข้อมูลออกจากหน่วยความจำจากตำแหน่งที่ระบุไว้)
2. Memory
Cycle Time : เป็นแนวคิดที่พัฒนามาใช้กับ RAM ซึ่งประกอบด้วย
เวลาในการเข้าถึงข้อมูล (access time) บวกกับเวลาก่อนที่การเข้าถึงครั้งต่อไปจะเริ่มขึ้น
3.Transfer
Rate : เป็นอัตราส่วนที่ข้อมูลสามารถจะถูกเคลื่อนย้ายเข้าหรือออกจากหน่วยความจำได้ใน
1 หน่วยเวลา
หน่วยความจำหลัก
หน่วยความจำชนิดรอม (ROM : Read Only Memory)
เป็นหน่วยความจำชนิดที่จะเก็บข้อมูลหรือโปรแกรมไว้อย่างถาวรไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่
สิ่งที่เก็บไว้จะประกอบด้วยข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการเริ่มสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์
และใช้เก็บโปรแกรม BIOS หรือโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ที่ฝังอยู่ในฮาร์ดแวร์ของเครื่องที่ทำหน้าที่ตรวจสอบฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ต่าง
ๆ ของคอมพิวเตอร์
ชนิดของรอม
-Manual
ROM )
ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ใน ROM จะถูกโปรแกรม โดยผู้ผลิต (โปรแกรม มาจากโรงงาน)
เราจะใช้ ROM ชนิดนี้ เมื่อข้อมูลนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
และมีความต้องการใช้งาน เป็นจำนวนมาก ผู้ใช้ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงข้อมูลภายใน ROM
ได้
โดย ROM จะมีการใช้ technology
ที่แตกต่างกันตัวอย่างเช่น BIPOLAR, CMOS, NMOS, PMOS
-PROM (Programmable ROM)
PROM (PROGRAMMABLE READ-ONLY MEMORY)
ข้อมูลที่ต้องการโปรแกรมจะถูกโปรแกรมโดยผู้ใช้เอง
โดยป้อนพัลส์แรงดันสูง
ทำให้ METAL
STRIPS หรือ POLYCRYSTALINE SILICON ที่อยู่ในตัว
IC ขาดออกจากกัน ทำให้เกิดเป็นลอจิก “1”
หรือ “0” ตามตำแหน่ง
ที่กำหนดในหน่วยความจำนั้นๆ เมื่อ PROM ถูกโปรแกรมแล้ว
ข้อมูลภายใน จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก
-EPROM (Erasable Programmable ROM)
EPROM (ERASABLE PROGRAMMABLE
READ-ONLY MEMORY)
ข้อมูลจะถูกโปรแกรม โดยผู้ใช้โดยการให้สัญญาณ
ที่มีแรงดันสูง ผ่านเข้าไปในตัว EPROM ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ใช้ใน PROM แต่ข้อมูลที่อยู่ใน
EPROM เปลี่ยนแปลงได้ โดยการลบข้อมูลเดิมที่อยู่ใน EPROM
ออกก่อน แล้วค่อยโปรแกรมเข้าไปใหม่ การลบข้อมูลนี้ทำได้ด้วย
การฉายแสง อุลตร้าไวโอเลตเข้าไปในตัว IC โดยผ่าน ทางกระจกใส
ที่อยู่บนตัว IC เมื่อฉายแสง
หน่วยความจำชนิดแรม (RAM : Random Access Memory)
ž เป็นหน่วยความจำชนิดที่เก็บข้อมูลเอาไว้เพื่อให้โปรแกรมสามารถนำมาใช้งานได้ในทันทีที่ต้องการ
ทั้งในส่วนของคำสั่งของโปรแกรมและข้อมูลที่ป้อนเข้าไป
เป็นส่วนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาระหว่างที่กำลังทำงานกับโปรแกรมอยู่
จะเป็นการเก็บไว้เพียงชั่วคราว และจะหายไปเมื่อปิดเครื่องหรือไฟฟ้าดับ
นั่นคือแรมจะต้องมีไฟฟ้าคอยเลี้ยงตลอดเวลา
โดยปกติทั่วไปหากบอกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนี้มี Memory 32
MB จะหมายถึงเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมี RAM 32
MB แรมเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากของคอมพิวเตอร์
และดูเหมือนว่าเครื่องมีแรมเท่าไรก็มักจะไม่พอต่อความต้องการ
(ทั้งของเราและของโปรแกรม application)
โดยที่เนื้อที่ของหน่วยความจำหลักแบบแรมนี้ถูกแบ่งออกเป็น
4 ส่วน คือ
1. Input Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลนำเข้าที่ได้รับมาจากหน่วยรับข้อมูลเข้าโดย
ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้ในการประมวลผลต่อไป
2. Working Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลที่อยู่ในระหว่างการประมวลผล
3. Output Storage Area เป็นส่วนที่เก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล
ตามความต้องการของผู้ใช้ เพื่อรอที่จะถูกส่งไปแสดงออก
ยังหน่วยแสดงผลอื่นที่ผู้ใช้ต้องการ
4. Program Storage Area เป็นส่วนที่ใช้เก็บชุดคำสั่ง
หรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการจะส่งเข้ามา เพื่อใช้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตามคำสั่ง
ชุดดังกล่าว หน่วยควบคุมจะทำหน้าที่ดึงคำสั่งจากส่วน
ชนิดของแรมตามรูปร่าง
- DIP RAM (Dual
In-Line Package RAM) เป็นแรมยุคแรก
มีลักษณะสีดำ มีขายื่นออกมาสองแถวคล้ายตะขาบ ยึดติดบน
- SIMM
RAM (Single In-Line Memory Module RAM) จะมีทั้งแบบ 30 พิน และ 72 พิน ข้อแตกต่างคือ SIMM 30 พินจะมี 9 บิตบนตัวแรม ส่วน SIMM 72 พิน จะมี 36 บิต และ SIMM 30 พินจะมีขนาดเล็กกว่า 72 พิน
ชนิดของแรมตามเทคโนโลยี
ความเร็วของตัวประมวลผลที่เพิ่มขึ้นย่อมต้องการส่วนประกอบต่าง
ๆ
ของระบบที่เร็วขึ้นเช่นกัน
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันบัสของหน่วยความจำจะทำงานช้ากว่าตัวประมวลผล
จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำแบบต่าง ๆ ดังนี้
-
DRAM (Dynamic RAM) เป็นมาตรฐานของ Main Memory
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Fast Page Mode DRAMนอกจากต้องมีไฟฟ้าเลี้ยงตลอดเวลาแล้ว
แรมชนิดนี้จะต้องทำการ Recharge อยู่เสมอ
คือจะคอยป้อนไฟเลี้ยงให้กับตัวเก็บประจุที่มีค่าเป็น “1”
เป็นระยะ DRAM จะเก็บแต่ละค่าของบิตลงในหน่วยความจำ (Memory Cell)
ROM คืออะไร
ROM คือ
หน่วยความจำหลักชนิดอ่านได้อย่างเดียว
นิยมใช้ในคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์หรืออุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยระบบอิเลคโทรนิกส์
ROM เป็นหน่วยความจำที่มีซอฟต์แวร์หรือชุดคำสั่งหรือข้อมูลที่จำเป็นบรรจุอยู่แล้ว
สามารถทำงานร่วมกับ CPU หรือ Microprocessor ได้ทันที ROM เป็นหน่วยความจำประเภทถาวร
ซึ่งหมายถึงว่าข้อมูลภายในจะไม่มีการลบหรือสูญหายแม้เราจะปิดเครื่อง
หรือตัดระบบไฟฟ้าที่จะมาเลี้ยงเครื่องนั้นๆก็ตาม
ROM นิยมนำมาเก็บโปรแกรมจำพวก
Bios (Basic Input output System) หรือ Firmware ที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต และสมาร์ทโฟน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้เก็บโปรแกรมคำนวณของเครื่องคิดเลข
ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมวงจรในรถยนต์ โทรทัศน์รุ่นใหม่ๆ เครื่องซักผ้า กล้องดิจิตอล
และอื่นๆอีกมากมาย
- Manual
ROM ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ใน ROM จะถูกป้อนมาแล้วโดยผู้ผลิต
- PROM
(Programmable ROM) ข้อมูลที่ต้องการจะถูกป้อนโดยผู้ใช้เอง
- EPROM
(Erasable Programmable ROM) ข้อมูลจะถูกป้อนโดยผู้ใช้โดยการให้สัญญาณที่มีแรงดันสูง
ข้อมูลภายในสามารถลบได้
- EAROM
(Electrically Alterable ROM) หรือ EEPROM ข้อมูลจะถูกป้อนโดยการให้สัญญาณที่มีแรงดันสูง
โดยสามารถลบข้อมูลภายในได้ด้วยสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งจะสามารถลบได้เร็วกว่า EPROM
ที่มา http://www.comgeeks.net/rom/
25/09/2558
สรุป
หน่วยความจำภายในคือ
หน่วยความจำที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งแบ่งออกได้
เป็นสองส่วนใหญ่คือ ROM และ RAM การทำงานของรอมกับแรมนั้นแต่กต่าวกัน
รอมนั้นจะเป็นตัวควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ ในส่วนของแรม
จะเป็นการพักข้อมูลไว้เพื่อส่งไปยังการประมวลผลต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น